การเจาะสำรวจดินเป็นขั้นตอนสำคัญที่ต้องทำก่อนการก่อสร้างโครงสร้างต่างๆ เช่น อาคาร ถนน สะพาน หรือฐานราก การเจาะสำรวจดินช่วยให้วิศวกรสามารถทราบข้อมูลเกี่ยวกับชั้นดินและคุณสมบัติของดินในพื้นที่ที่ต้องการก่อสร้าง ซึ่งจะมีผลต่อการออกแบบและความปลอดภัยของโครงสร้างนั้นๆ ในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับการเจาะสำรวจดินโดยวิธีฉีดล้าง (Wash Boring) และวิธีเจาะปั่น (Rotary Drilling) และเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างสองวิธีนี้

การเจาะสำรวจดินโดยวิธีฉีดล้าง (Wash Boring)

ขั้นตอนและหลักการ

วิธีฉีดล้าง (Wash Boring) เป็นวิธีการเจาะสำรวจดินที่ใช้กันทั่วไป โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีชั้นดินเหนียว ชั้นทราย หรือชั้นกรวด ขั้นตอนการเจาะโดยวิธีนี้ประกอบด้วยการใช้ท่อเจาะลงไปในดิน พร้อมกับการฉีดน้ำผ่านท่อเพื่อล้างเศษดินและนำตัวอย่างดินขึ้นมาวิเคราะห์ วิธีนี้สามารถทำได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพในพื้นที่ที่มีชั้นดินไม่แข็งมาก

การเจาะสำรวจดินโดยวิธีฉีดล้าง (Wash Boring)

ข้อดีของวิธีฉีดล้าง

  • ความรวดเร็ว
    การเจาะด้วยวิธีฉีดล้างใช้เวลาไม่นานเนื่องจากสามารถล้างเศษดินได้อย่างรวดเร็ว
  • ประหยัดค่าใช้จ่าย
    วัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ในการเจาะมีราคาถูกกว่าเมื่อเทียบกับวิธีอื่น
  • การเก็บตัวอย่างดิน
    สามารถเก็บตัวอย่างดินได้อย่างต่อเนื่องตลอดการเจาะ

ข้อจำกัดของวิธีฉีดล้าง

  • การเจาะในชั้นดินแข็ง
    วิธีนี้ไม่เหมาะกับการเจาะในชั้นดินหรือหินที่มีความแข็งสูง เนื่องจากอาจทำให้ท่อเจาะและอุปกรณ์เสียหาย
  • ความลึกในการเจาะ
    มีข้อจำกัดในเรื่องความลึกของการเจาะ โดยทั่วไปวิธีนี้เหมาะกับการเจาะที่ความลึกไม่มากนัก

การเจาะสำรวจดินโดยวิธีเจาะปั่น (Rotary Drilling)

ขั้นตอนและหลักการ

วิธีเจาะปั่น (Rotary Drilling) เป็นวิธีการเจาะสำรวจดินที่ใช้เครื่องเจาะที่มีหัวเจาะหมุนเป็นวงกลมในการเจาะดินและหิน ขั้นตอนการเจาะโดยวิธีนี้ประกอบด้วยการใช้หัวเจาะหมุนเจาะลงไปในดิน พร้อมกับการฉีดน้ำหรือของเหลวเพื่อหล่อลื่นและล้างเศษดินขึ้นมาวิเคราะห์ วิธีนี้เหมาะกับการเจาะในชั้นดินหรือหินที่มีความแข็งสูง

การเจาะสำรวจดินโดยวิธีเจาะปั่น (Rotary Drilling)

ข้อดีของวิธีเจาะปั่น

  • ความลึกในการเจาะ
    สามารถเจาะได้ลึกมากกว่าเมื่อเทียบกับวิธีฉีดล้าง ทำให้เหมาะกับการเจาะสำรวจในพื้นที่ที่มีความลึก
  • การเจาะในชั้นดินแข็ง
    เหมาะกับการเจาะในชั้นดินหรือหินที่มีความแข็งสูง เนื่องจากมีหัวเจาะที่สามารถเจาะผ่านชั้นดินหรือหินได้
  • ความละเอียดของตัวอย่างดิน
    สามารถเก็บตัวอย่างดินที่มีความละเอียดและแม่นยำมากกว่า เนื่องจากการเจาะที่เป็นระบบและควบคุมได้ดี

ข้อจำกัดของวิธีเจาะปั่น

  • ค่าใช้จ่าย
    การเจาะด้วยวิธีนี้มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าเมื่อเทียบกับวิธีฉีดล้าง เนื่องจากเครื่องเจาะและอุปกรณ์ที่ใช้มีราคาสูง
  • ความซับซ้อนในการปฏิบัติงาน
    การเจาะด้วยวิธีนี้ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการปฏิบัติงานเนื่องจากมีความซับซ้อนและต้องการการควบคุมที่แม่นยำ

การเปรียบเทียบระหว่างการเจาะสำรวจดินโดยวิธีฉีดล้างและวิธีเจาะปั่น

ความเหมาะสมของการใช้งาน

  • วิธีฉีดล้าง: เหมาะกับการเจาะในชั้นดินเหนียว ชั้นทราย หรือชั้นกรวด ที่มีความลึกไม่มากนัก และไม่มีความแข็งมาก เหมาะกับการเจาะในพื้นที่ที่ต้องการความรวดเร็วและประหยัดค่าใช้จ่าย
  • วิธีเจาะปั่น: เหมาะกับการเจาะในชั้นดินหรือหินที่มีความแข็งสูง และต้องการความลึกในการเจาะมาก เหมาะกับการเจาะในพื้นที่ที่ต้องการความละเอียดและแม่นยำของตัวอย่างดิน

ความรวดเร็วและค่าใช้จ่าย

  • วิธีฉีดล้าง: ใช้เวลาไม่นานในการเจาะและมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าเมื่อเทียบกับวิธีเจาะปั่น
  • วิธีเจาะปั่น: ใช้เวลาในการเจาะมากกว่าและมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าเนื่องจากเครื่องเจาะและอุปกรณ์ที่ใช้มีราคาสูง

คุณภาพของตัวอย่างดิน

  • วิธีฉีดล้าง: สามารถเก็บตัวอย่างดินได้อย่างต่อเนื่องแต่มีความละเอียดน้อยกว่า
  • วิธีเจาะปั่น: สามารถเก็บตัวอย่างดินที่มีความละเอียดและแม่นยำมากกว่า

การเจาะสำรวจดินเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการวิเคราะห์และออกแบบฐานรากของโครงสร้างต่างๆ ทั้งวิธีฉีดล้าง (Wash Boring) และวิธีเจาะปั่น (Rotary Drilling) มีความเหมาะสมในการใช้งานแตกต่างกันตามลักษณะของชั้นดินและความต้องการของงาน การเลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่งควรพิจารณาจากความลึกในการเจาะ ความแข็งของชั้นดิน ความรวดเร็วในการเจาะ และค่าใช้จ่าย โดยวิธีฉีดล้างเหมาะกับการเจาะในชั้นดินที่ไม่แข็งมากและมีความลึกไม่มากนัก ขณะที่วิธีเจาะปั่นเหมาะกับการเจาะในชั้นดินหรือหินที่มีความแข็งสูงและต้องการความลึกในการเจาะมาก

ความแตกต่างระหว่างการเจาะสำรวจดินโดยวิธีฉีดล้าง (Wash Boring) และวิธีเจาะปั่น (Rotary Drilling)
Tagged on: